ประวัติ ของ โนบูโอะ อูเอมัตสึ

ช่วงแรก

โนบูโอะ อูเอมัตสึ เกิดที่เมืองโคชิ ในจังหวัดโคชิ ประเทศญี่ปุ่น[2] เขาฝึกเรียนเปียโนด้วยตนเองเมื่ออายุสิบเอ็ดปีและภายหลังได้รับการฝึกฝนโดยพี่สาวของเขา หลังจากเขาเรียนจบที่มหาวิทยาลัยคานางาว่า เขาก็ได้เป็นนักเปียโนสมัครเล่นตามงานต่างๆ ซึ่งภายหลังบริษัทสแควร์ก็ได้ชักชวนเขาให้มาทำงาน ซึ่งแรกเริ่มเขานึกว่าไม่ได้เป็นงานประจำ แต่เขาก็รีบรับงานซึ่งเป็นเหตุทำให้เขามีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้

การงานในสแควร์และเดอะแบลกเมจ

เกมแรกที่อุเอมัตสึได้ประพันธ์ชื่อ เจเนสิส Genesis ในปี 1985 ขณะที่ทำงานในสแควร์ เขาได้พบกับ ฮิโรโนบุ ซาคากูชิ (Hironobu Sakaguchi) โดยเขาได้ทาบทามให้เขามาทำงานในช่วงปี 1986-1987 ซึ่งเขาก็ตอบรับ แม้ว่าในช่วงสองปีนี้ งานของเขาจะไม่ค่อยราบรื่นบวกกับบริษัทสแควร์กำลังจะล้มละลาย แต่ในปลายปี 1987 เขาสองคนก็ร่วมมือกันทำเกมไฟนอลแฟนตาซี (Final Fantasy) ซึ่งทำให้เขาทั้งสองประสบผลสำเร็จ และสามารถกู้บริษัทสแควร์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

เกมส์ไฟนอลแฟนตาซี ได้จุดประกายให้เขาได้มีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบันนี้ เขาทำเพลงในเกมนี้ทั้งหมดสามสิบกว่าแทรค ในปี 1989 เขาก็ได้ทำเพลงประกอบเกมซีรีส์อีกซีรีส์ซากา ชื่อว่าไฟนอลแฟนตาซีเลเจนท์ (The Final Fantasy Legend) และทำไฟนอลแฟนตาซี II (Final Fantasy II) ในปี 1990 และโรแมนซ์ออฟซากา (Romancing SaGa 2) ในปี 1993 ซึ่งได้ร่วมมือกับเคนจิ อิโต และเขาก็ได้รับเซ็นต์สัญญาในฐานะบุคลากรผู้ทรงเกียรติของบริษัทสแควร์ในปี 1995 ในผลงานเกม โครโนทริกเกอร์ (Chrono Trigger) ซึ่งประพันธ์ร่วมกับ ยาสึนาริ มิสสีดะ และมีผลงานเพลงประกอบเกมออกมาในช่วงนี้อีกได้แก่ ฟรอนท์มิชชั่นกันฮัสสาร์ด (Front Mission: Gun Hazard) และฮันกูจิฮีโร (Hanjuku Hero)

นอกจากงานด้านเกมแล้วเขาก็ยังประพันธ์ ธีมหลักในหนังเรื่อง อ้ามายก๊อดเลสส์ (Ah! My Goddess: The Movie) และร่วมกันทำการ์ตูนซีรีส์ไฟนอลแฟนตาซี (Final Fantasy Unlimited) ในปี 2001 โอเครสเตรดโดย ชิโร ฮามากูชิ แล้วเขาก็ได้สนใจในการทำอัลบั้มเพลงสิบเพลงของ Phantasmagoria ในปี 1994 ในปี 2001 เขาได้ชักชวนให้แต่งเพลงร่วมกันกับ มาซาชิ ฮามาซุ และ จุนยา นากาโนะ เพราะโดยส่วนตัวเขาคิดว่าเขาได้รับการศึกษามาน้อยอีกทั้งไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ทำเพลงประกอบเกมด้วยตัวเองทั้งเกมในเกมไฟนอลแฟนตาซี X (Final Fantasy X) และได้เป็นจุดจบของวงการนักประพันธ์ดนตรีสำหรับเกมในปี 2002 ซึ่งเขาเชิญ นาโอชิ มิซีตะ และ คูมิ ทานิโอกะ มาทำแทนเขาเองทั้งหมดในเกมไฟนอลแฟนตาซี X-2 (Final Fantasy X-2) และเขาก็ได้แค่ช่วย ฮิโตชิ ซากิโมโต ศิลปินชื่อดังในการทำเพลงสำหรับไฟนอลแฟนตาซี XII (Final Fantasy XII) แค่หนึ่งเพลง"Kiss Me Good Bye" และใช้ทำนองหลักในไฟนอลแฟนตาซีทุกภาคมาผสมกับลักษณะการประพันธ์อันยอดเยี่ยมของฮิโตชิ ซากิโมโต

ในปี 2002 เคนชิโร ฟูคูอิ (Kenichiro Fukui) และ ซึโยชิ เซอิโต (Tsuyoshi Sekito) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมบริษัทสแควร์เอนิกซ์ (Square Enix) ได้ชักชวนให้เขาร่วมกันทำวงร๊อคเพื่อโฆษณาผลงานทางดนตรีของเขาและปล่อยผลงานทางดนตรีของอุเอมัสสึ ซึ่งตอนแรกก็ปฏิเสธเพราะว่ามีงานเป็นจำนวนมาก และภายหลังก็ตอบตกลงในฐานะมือคีย์บอร์ดโดยใช้ชื่อวงว่า เดอะแบลกเมจ (The Black Mages) โดยในปีถัดมาก็มีสมาชิกวงเข้ามาอีกสามคนก็คือ เคอีจิ คาวาโมริ (Keiji Kawamori) อารตะ ฮานยาดะ (Arata Hanyada) และ มิชิโอะ โอกามิยะ (Michio Okamiya) มีอัลบั้มออกมาสามอัลบั้ม

ในฐานะอาชีพอิสระ

อุเอมัตสึได้ออกจากบริษัทสแควร์เอนิกซ์ในปี 2004 และได้ก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Smile Please และก่อตั้งบริษัทสำหรับอัดเสียงชื่อว่าบริษัท Dog Ear Records ในปี 2006 ซึ่งสาเหตุการออกจากบริษัท ก็เนื่องมาจากว่าบริษัทได้ย้ายสำนักงานจาก Meguro ไปยัง Shinjuku ซึ่งอยู่ในเมืองโตเกียวเช่นกัน แต่ว่าการย้ายบริษัททำให้อุเอมัตสึไม่สะดวกต่อการทำงาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นนักแต่งเพลงให้กับสแควร์เอนิกซ์ในฐานะฟรีแลนซ์

ในปี 2005 อุเอมัตสึก็ได้บันทึกอัลบั้มสำหรับภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง "ไฟนอลแฟนตาซีเซเว่น: แอดเวนท์ชิลเดร้น" ภายใต้วงแบลกเมจของเขา และภายหลังจากการออกเขาก็ยังได้นำบทเพลง "พรีลูด" สำหรับไฟนอลแฟนตาซีในแทรคเริ่มต้นของเพลงในไฟนอลแฟนตาซี XII ซึ่งที่จริงแล้วบทเพลงส่วนใหญ่ทางบริษัทก็ได้มอบหมายงานให้ซากิโมโตทำแทน ซึ่งเขาก็อยากจะทำในเพลงไฟอลแฟนตาซี XIII แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ได้รับมอบหมายให้ทำในภาค XIV แทนและให้ มาซาชิ ฮามานซึ จัดการดนตรีของไฟนอลแฟนตาซีภาค XIII แทนทั้งชุด

ลึกๆ สำหรับโนบูโอะ อูเอมัตสึแล้ว เขาก็ยังสนิทสนมกับ ฮิโรโนบุ ซากาอุชิอยู่เช่นเคย เขายังได้ทำงานร่วมกันในปี 2007 ผลงานดังนี้ Blue Dragon series, Lost Odyssey และ Away Shuffle Dungeon ในปี 2008 และเขาต้องถูกยกเลิกเกมส์ Cry On อีกด้วย สำหรับ PSP เขาได้ทำเพลงประกอบสองเกมส์คือ Anata o Yurusanai ในปี 2007, Lord of Vermillion และอีกทั้งเขาก็ได้ทำธีมหลักในเกม Super Smash Bros. Brawl ในปี 2008 เช่นกัน เขาได้รับโอกาสครั้งแรกสำหรับทำดนตรีประกอบการ์ตูนในเรื่อง Guin Saga ซึ่งเขาทำดนตรีทั้งเรื่องและยังมีงานจุกจิกเช่น ซากุระการ์ดแคบเตอร์สำหรับ Nintendo DS อีกด้วย

ชีวิตส่วนตัว

ขณะนี้เขาได้อาศัยอยู่ที่โตเกียวกับภรรยาของเขา Reiko ซึ่งเขาทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเรียนในมหาวิทยาลัยคานางาวะ และหมาพันธุ์บีเกิลคู่ใจชื่อว่า Pao ซึ่งในช่วงฤดูร้อนเขาจะไปพักอาศัยอยู่ที่เมือง ยามานากาโกะ และโดยส่วนตัวเขาจะชอบเจียดเวลาส่วนตัวไปดูมวยปล้ำ, กินเบียร์ และปั่นจักรยาน เขาเคยกล่าวว่าเขาเสียดายกับชีวิตที่ไม่สามารถเป็นนักมวยปล้ำอย่างที่เขาอยากเป็นในสมัยเด็กได้ ซึ่งเขาเองต้องกลายมาเป็นกวีเอกของโลกแทน